Pages

Friday, July 1, 2011

ความเชื่อ... คุณธรรมที่คริสเตียนต้องมี



จากที่ได้ชมคลิปวีดีโอนี้ เราได้ข้อคิดอะไรกันบ้างครับ? ผมคิดว่าทุกคนคงได้เรื่องคล้ายๆ กัน คือ คำว่า "ความเชื่อ" บทความนี้เป็นข้อคิดอีกแง่มุมหนึ่งของคำๆ นี้ครับ

คริสเตียนมักจะใช้คำว่า “ความเชื่อ” ใน 2 ความหมายหรือ 2 ระดับ ในความหมายแรกหมายความเพียงแค่ความเชื่อ คือ การยอมรับและความเชื่อว่าหลักคำสอนของคริสเตียนเป็นจริง ความหมายในระดับนี้ฟังดูค่อนข้างง่าย แต่สิ่งที่ทำให้งุนงงคือข้อที่ว่า คริสเตียนถือว่าความเชื่อในความหมายนี้เป็นความคุณธรรม (หรือลักษณะชีวิต)

โรม 1:17 เพราะว่าในข่าวประเสริฐนั้น ความชอบธรรมของพระเจ้าก็ได้สำแดงออกโดย เริ่มต้นก็ความเชื่อ สุดท้ายก็ความเชื่อ ตามที่พระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า คนชอบธรรมจะมีชีวิตดำรงอยู่โดยความเชื่อ

2โครินธ์ 1:24 เราไม่ใช่เป็นนายบังคับความเชื่อของพวกท่าน แต่ว่าเราเป็นผู้อุปการะ เพื่อท่านจะรับความชื่นชมยินดี เพราะท่านตั้งมั่นอยู่ในความเชื่อแล้ว

เคยถามไหมว่า ความเชื่อเป็นความคุณธรรม (หรือลักษณะชีวิต) ได้อย่างไร มันมีอะไรที่มีศีลธรรมหรือไร้ศีลธรรมเกี่ยวกับการเชื่อหรือไม่?
(ข้อคิดแทรก: คนมีสติดีอยู่จะรับหรือปฏิเสธข้อความใดๆ ไม่ใช่เพราะว่าเขาอยากรับหรือไม่อยากรับ แต่เป็นเพราะว่าหลักฐานสนับสนุนน่าเชื่อถือหรือไม่ และถ้าเขาคิดว่าหลักฐานนั้นไม่น่าเชื่อเลย แต่พยายามบังคับตัวเองให้เชื่อทั้งๆ รู้อย่างนั้น ก็คงต้องเรียกว่าโง่จริงๆ)

จริงหรือไม่ที่หลายคนสรุปเองว่า ถ้ามนุษย์ยอมรับด้วยใจครั้งหนึ่งว่าสิ่งหนึ่งเป็นความจริง เขาจะถือว่ามันเป็นความจริงอย่างนั้นตลอดไปโดยอัตโนมัติจนกว่าจะมีเหตุผลสำคัญที่ทำให้ต้องพิจารณากันใหม่ปรากฎตัวขึ้น หรือพูดง่ายๆ ว่าความคิดของคนถูกควบคุมด้วยเหตุผลทั้งสิ้น คุณคิดว่า ข้อความนี้เป็นจริงสำหรัยคุณไหม?

ผมอยากบอกว่าแท้ที่จริงๆ มันไม่ได้เป็นเช่นนั้น ตัวอย่างเช่น
หลักฐานที่ดีชิ้นหนึ่ง ทำให้เรายอมรับว่ายาสลบจะไม่ทำให้ผมหายใจไม่ออก (หรือถึงแก่ความตาย) และศัลยแพทย์ที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีจะไม่เริ่มลงมือผ่าตัดจนกว่าเราจะหมดสติไปก่อน แต่เวลาที่เรานอนลงบนเตียงผ่าตัดและเอาหน้ากากยาสลบมาเปิด เราก็จะเริ่มตกใจกลัวแบบเด็กๆ เริ่มสูญเสียความเชื่อที่มีในเรื่องยาสลบ แต่ไม่ใช่ด้วยเหตุผลที่ทำให้ความเชื่อหมดไป ในทางตรงกันข้ามความเชื่อยังคงตั้งอยู่บนเหตุผล แต่อารมณ์และจินตนาการและอารมณ์ต่างหากที่ทำให้ความเชื่อไม่มั่นคง

ตัวอย่างอื่นๆ เช่น
ชายรู้และมีหลักฐาน หญิงสาวที่รู้จักชอบเผยความลับ แต่พออยู่ใกล้ก็ยังคิดว่า “บางทีหล่อนคงไม่ทำเช่นนั้น”
หรือเด็กที่เห็นคนลอยตัวในน้ำ เขารู้ว่ามนุษย์สามารถลอยตัวได้ในน้ำ แต่พอเขาไปหัดว่ายน้ำ ในช่วงเวลาที่ครูฝึกจะปล่อยมือให้เขาว่ายเอง เขาอาจจะสูญเสียความเชื่อทำให้จมน้ำได้

สำหรับคริสเตียน ถ้าชายคนหนึ่งตัดสินใจเชื่อพระเยซูคริสต์อย่างเข้าใจ แต่ในอีก 3 – 4 สัปดาห์ข้างหน้าอาจจะมีบางเรื่องที่เกิดอะไรบางอย่างสั่นคลอนความเชื่อของเขา หรือเขาอยู่ท่ามกลางคนไม่เชื่อ และอาจจะเกิดอารมณ์พลุ่งพล่านโจมตีความเชื่อตนเอง หรืออาจจะอยากทำตามเนื้อหนัง / ความบาปบางเรื่อง

เคยหรือไม่ที่ชีวิตของเราอาจจะมีช่วงเวลาที่เคยคิดว่า ถ้าความเชื่อคริสเตียนไม่เป็นจริง จะทำให้ชีวิตสะดวกมากขึ้น และความปรารถนาก็จะโจมตีความเชื่อของตนเอง (ในกรณีนี้ไม่ได้พูดถึงช่วงที่มีเหตุผลจริงๆ จังๆ ในการต่อต้านคริสเตียนขึ้นมา แต่พูดถึงกรณีเกิดอารมณ์พลุ่งพล่านโจมตีความเชื่อ)

ฉะนั้นความเชื่อที่กำลังพูดถึง “ความสามารถในการยึดถือสิ่งที่เหตุผลของเราได้ยอมรับแล้วว่าถูกต้อง แม้ว่าอารมณ์จะขึ้นๆ ลงๆ ในบางเวลา" เพราะอารมณ์นั้นมีสิทธิในการแปรปรวนได้ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความคิด เพราะมีบางครั้งเหมือนกันที่เราเป็นคริสเตียนแล้ว แต่ก็คิดว่าบางครั้งสิ่งที่เราเชื่อทั้งหมดนั้นอาจจะไม่เป็นจริง นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมความเชื่อจึงเป็นคุณธรรมที่สำคัญยิ่ง ไม่ฉะนั้นเราจะเป็นคริสเตียนที่ดีไม่ได้

การฝึกฝนดำเนินชีวิตตามความเชื่อ
ขั้นตอนแรก คือ ยอมรับว่าอารมณ์ของเรานั้นแปรปรวนได้
ขั้นตอนที่ 2 คือ เมื่อเรารับเชื่อ ต้องดูแลให้มีการนำหลักคำสอนมาใคร่ครวญ นี่คือเหตุผลที่เรานั้นต้องมีการอธิษฐาน / ใคร่ครวญพระวจนะ และไปร่วมคริสตจักรทุกสัปดาห์ เพื่อเราทั้งหลายจะรับการย้ำเตือนในสิ่งที่เราเชื่อ ไม่มีความเชื่อไหนจะลุกโชติช่วงในใจเราตลอดไปอย่างอัตโนมัติ ความเชื่อต้องไปรับการบำรุงเลี้ยงอยู่เสมอ

อันที่จริงถ้าเราศึกษาความถดถอยไปจากความเชื่อ พบว่าจะมีสักกี่คนที่ถดถอยเพราะได้ถกเถียงกันแล้วด้วยเหตุผลว่าพระเจ้าไม่มีจริง ไม่จริงหรอกที่คนส่วนใหญ่ถดถอยเพราะความเชื่อเลือนหายไป

ความเชื่อในความหมายที่ 2 เป็นสิ่งที่ยากที่สุดเท่าที่เคยอธิบายมา เราต้องกลับไปสู่เรื่องความถ่อมใจก่อน “คนที่ถ่อมใจ คือคนที่ยอมรับว่าตัวเองมีความหยิ่งจองหอง”

ก้าวต่อไป คือการที่เราเข้าใจว่า การพยายามปฏิบัติตามคุณธรรมของคริสเตียน 1 สัปดาห์ไม่เพียงพอหรอก เราลองทำไปสัก 6 สัปดาห์จะพบว่าเราถอยกลับมาสู่จุดเริ่มต้น หรือแย่กว่าจุดเริ่มต้น และเราจะได้พบความจริงบางเรื่องคือ ไม่มีใครรู้ว่าตัวเองเลวขนาดไหน จนกว่าจะได้ลองพยามทำดี

มีแต่คนที่พยายามต่อต้านการทดลองเท่านั้นจึงจะรู้ว่าสิ่งเย้ายวนของการทดลองเป็นอย่างไร เหมือนเวลาเราสู้กับกองทัพจะรู้ว่ากองทัพน่ากลัวก็เมื่อเข้าปะทะ ไม่ใช่ยอมแพ้ ฉะนั้นคนเลวจึงรู้เกี่ยวกับการทดลองน้อยมาก พระเยซูจึงเป็นผู้เดียวที่เข้าใจการทดลองมากที่สุด

มาถึงประเด็นสำคัญ คือ เมื่อเราพยายามทำตามคุณธรรมของคริสเตียนเรานั้นจะพบความล้มเหลว ถ้าหากเราเคยมีความคิดที่ว่า พระเจ้าเป็นผู้ออกข้อสอบให้เราทำ และถ้าเราได้คะแนนดีเรานั้นก็สมควรจะได้รับ ขอให้ลบความคิดนี้ออกไปจากชีวิต หรือความคิดที่ต่อรอง เช่น เรานั้นกระทำในส่วนที่เป็นไปตามพระสัญญาแล้ว พระองค์เป็นหนี้เรา ถ้าจะให้ดีพระองค์ต้องทำในส่วนของพระองค์ด้วย ความคิดเช่นนี้ก็ต้องลบออกเช่นเดียวกัน

คนที่มีความเชื่ออย่างเลือนรางมักจะมี 2 ความคิดนี้ ผลแรกของความเชื่อคริสเตียนคือทำลายความเหล่านี้ออกไปทั้งสิ้น บางคนคิดว่า นี่คือความล้มเหลวของคริสเตียน แต่จริงๆ พระเจ้ารู้อยู่แล้วว่าเรานั้นสู้ไม่ได้ มาถึงความจริงที่สำคัญคือ พลังความคิด ความสามารถ พลังในการเคลื่อนไหวทุกวินาที เราได้รับมาจากพระเจ้านั่นเอง

อ้างอิง: หนังสื่อแก่นแท้คริสตศาสนา

No comments:

Post a Comment